สอนวิธีคิดหรือบอกความจริง

19 ก.ย. 57 / 1198 อ่าน

วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.?2557 เวลาเราอ่านหนังสือธรรมะหรือฟังธรรมะจากทีวีหรือ MP3 ก็ดี เราจะได้เห็นมุมมองต่างๆ ที่ได้รับฟังทำให้เราเข้าใจ หรือหากมีความทุกข์ก็คลายจากความทุกข์ลงได้ ลองสังเกตดูว่าสิ่งที่ได้ยินนั้น เป็นธรรมะลักษณะไหน? เคยสังเกตไหม? ธรรมะที่ได้ฟังเป็นการสอนวิธีคิด สอนให้เชื่อว่า.. หรือบอกความจริงที่เป็นสัจจธรรมที่ผู้คนไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อนซึ่งอยู่เบื้องหลังความทุกข์ทั้งหมด ไม่ว่าในวันนี้เขาจะเข้าใจได้หรือไม่ก็ตาม แต่การนำความจริงแท้มาบอกเพื่อให้ความเข้าใจในอนาคตที่ถูกตรงเพื่อออกจากทุกข์ได้อย่างถาวร นั่นคือเรื่องที่ทุกคนควรจะได้รับ ส่วนความเข้าใจอาจจะเข้าใจในแบบที่เราคิดได้ก็ยังดีกว่าการสอนเพียงให้ผ่านๆไป แต่การเชื่อตามก็ใช่ว่าจะไม่เกิดประโยชน์เลย แต่มันวนพามาทุกข์อีกอยู่ดี เปรียบเหมือนถ้าเราป่วยมากเป็นโรคกระเพาะ ไปหาหมอ หมอคิดว่าเราคงไม่สามารถปฏิบัติตัวตามที่หมอบอกได้และยาก็อาจจะขมมากจนคนไข้ทานไม่ได้ หมอเลยจ่ายยาแก้ปวดมาให้เพื่อจะได้หายปวด แต่คนไข้จะหายไหมล่ะถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวก็ปวดอีก เดี๋ยวก็ปวดอีกไปเรื่อยๆ ปัญหาจึงเกิดว่าหมอทำอย่างนี้ไม่ถูกนะหรือไม่อีกอย่างก็คือหมอไม่รู้ว่าคนไข้เป็นอะไร หรือหมอไม่มีความรู้พอที่จะเห็นไปถึงต้นเหตุของโรค รู้งูๆ ปลาๆ ตามที่เคยฟังมาจึงรักษาหรือบอกได้เท่าภูมิรู้ของตน การปฏิบัติธรรมคือการมาปฏิบัติเพื่อให้พ้นไปจากความทุกข์ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงแบบเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ไม่ใช่มาคิดให้เหมือนท่าน พระองค์จึงตรัสเตือนไว้ในกาลามสูตร ดังนั้นชาตินี้มีโอกาสแล้ว ทำให้เต็มที่ ไปให้ถึงเบื้องหลัง วันนี้หากท่านปลื้มอกปลื้มใจดาราคนโปรด ท่านหลงไหลดาราคนโปรด เมื่อสังเกตก็จะเห็นว่านักแสดงตอนอยู่บนเวทีก็แค่แสดงอาการท่าทาง แค่การแสดงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เห็นอย่างนี้ก็เริ่มอินในหนังในละครลดลง พาสังเกตไปที่เขาแสดงออกมานั้นเพราะมีผู้กำกับสั่งว่าต้องทำอะไร อ้าว! นั่นไม่ใช่เพราะเขาเป็นอย่างนั้นนี่ จนเห็นความจริงไปยิ่งๆ ขึ้นว่า ไม่ว่าจะผู้กำกับ นักแสดงหรือเด็กยกของ ตากล้องฯลฯ ล้วนทำเพื่อเงินแล้วก็แยกย้ายกันกลับ ไม่ได้มีความจริงอะไรเลย จึงปล่อยวางความยึดถือทั้งหมด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับของไร้สาระอีก ทั้งหมดที่กล่าวมาคืออะไร?1. เราหลงไหลในดารา นักแสดง?2. นั่งดูไปเห็นแต่อารมณ์ที่เปลี่ยนไปมา ทั้งนักแสดง ทั้งเรา ไม่ได้หยุด สุดท้ายพอละครจบ ก็กลับมาเป็นปรกติ นี่เราบ้ารึเปล่า นั่งวูบๆ วาบๆ อยู่ชั่วโมงนึง สุดท้ายกลับมาที่ไม่มีอะไรเลย อย่างนี้เริ่มเข้าใจได้จากการเห็นอนิจจัง?3. ดูไปดูไป ชักเข้าใจเห็นความจริงว่าความจริงที่เราเห็นว่าอนิจจังนั้น ที่แท้นักแสดงทั้งหลายล้วนทำตามผู้กำกับสั่ง ผู้กำกับอยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงที่เราบอกว่าอนิจจังลงไปอีกชั้น พวกนี้อยู่หลังม่านนี่ เบื้องหลังความจริงนี้เรียกว่า อนัตตา เพราะการที่สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยที่เข้ามากระทบอยู่ตลอดเวลา ตัวของสิ่งนั้นๆ เองก็มีการเปลี่ยนแปลงภายในตามเหตุปัจจัยด้วยเช่นกัน เมื่อการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดทั้งภายนอกที่มากระทบและเปลี่ยนแปลงจากภายในเพราะเหตุปัจจัยภายในเอง การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา สิ่งทั้งปวงจึงไม่ได้มีตัวตนใดๆ เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยทั้งภายในภายนอก จึงเข้าใจอนัตตาธรรม?4. เมื่อได้เห็นความจริงระดับนี้แล้ว เมื่อมองไปทางไหนก็เห็นว่าทุกๆ อย่างในโลกในจักรวาลล้วนเป็นอนัตตาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ต่างกันที่ที่เราเรียกว่ามีชีวิตคือรูปนามที่มีวิญญาน เมื่อมีวิญญานก็มีเวทนาคือความรู้สึกสุข ทุกข์ด้วยความไม่รู้ เมื่อสุขก็อยากได้อีกเป็นตัณหา เมื่อทุกข์ก็อยากผลักไสเป็นวิภวตัณหา สุดท้ายมีแต่การสร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด เมื่อเห็นความจริงทั้งหมด จิตจะย้อนเข้าไปเห็นว่าตัวจิตเองที่หลงยึดถือตัวเองจึงเป็นที่มาขออุปาทานขันธ์๕ เมื่อตัดอาหารของโลภะ โทสะ โมหะ จนเบาบาง จิตจึงเกิดความรู้อันสูงสุด เกิดการปล่อยวางอย่างแท้จริง ปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่จบแค่ ใส่บาตร เวียนเทียน ถวายสังฆทาน เอาเงินใส่บาตรตามวัด แต่ปัญญาการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือโอกาสที่สัตว์โลกหลงวนอยู่ในกองทุกข์จะมีโอกาสได้พ้นไปจากทุกข์อย่างถาวร ถ้ามีผู้รู้ที่ปฏิบัติจนพ้นทุกข์ไปได้แล้วจริงๆ หันหลังกลับมามองผู้คนทั้งหลายท่านคงเสียดายแทนจริงๆ ที่ไม่ได้อะไรจากการเกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนาจริงๆ ท่านพุทธทาสบอกว่า ปฏิบัติธรรมให้ปฏิบัติแบบชาติเสือ อย่าปฏิบัติแบบชาติหมา ถ้าใครเอาไม่แหย่หมา หมากัดปลายไม้ ถ้าเอาไม้แหย่เสือ เสือกัดคนแหย่นะ เพราะฉะนั้นปฏิบัติไปให้ถึงต้นตอของมันจะได้หมดทุกข์ พ้นทุกข์ไปได้จริงๆ