เห็นการเกิด-ดับ
17 ต.ค. 56 / 1704 อ่าน
เห็นการเกิด-ดับ
ผมเห็นการเกิดดับ อย่างนี้ใช่ไหมครับ นี่คือคำถามยอดฮิต
แล้วเห็นยังไงล่ะ?
คือผมเล่นเกมส์ เห็นอารมณ์ต่างๆทั้งพอใจและไม่พอใจเกิดขึ้นดับไปตลอดเวลาเลย ผมต้องทำยังไงต่อครับ เห็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นก้าวหน้าเลย
ดิฉันก็เห็นการเกิด-ดับเช่นกัน วันก่อนไปเดินช้อปปิ้ง เห็นความโลภเกิดขึ้นเวลาที่เห็นของที่ถูกใจ ความโกรธเกิดขึ้น เวลาที่ถูกขัดใจหรือต่อของที่อยากได้แล้วไม่ได้ แล้วดิฉันต้องทำยังไงต่อค่ะ เห็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นก้าวหน้าเลย
การเกิดดับที่เราพูดถึงนั้น เป็นสภาพเกิดดับที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่นใบไม้ร่วง ฝนตก เสียงต่างๆ อารมณ์พอใจ ไม่พอใจ หรือลมหายใจ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นของเกิดขึ้นดับไปตลอดเวลา ถ้ามีใครเข้าไปสังเกตก็จะต้องเห็นแน่นอน ไม่ต้องนักปฏิบัติอะไรมากมายก็เห็นได้ เพราะของมันมีอยู่แล้ว อาทิเช่น ลมหายใจ ลมหายใจเข้าเดี๋ยวก็หายใจออก หายใจออกเสร็จเดี๋ยวก็หายใจเข้า ลมหายใจเข้าก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลมหายใจออก เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป อย่างนี้เกิดอยู่ทุกเวลา ทุกวัน สังเกตก็เห็น แต่วันๆเห็นไหม ไม่เห็นหรอกเพราะมัวแต่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำโน่นนี่ทั้งวัน ยุ่งทั้งวัน อย่างนี้ที่คนชอบพูดว่าได้เห็นการเกิดดับ แล้วถูกไหมล่ะ ปฏิบัติแล้วเห็นอย่างนี้ ก็เห็นถูกแล้ว เพราะของมันเกิดดับอยู่แล้วนี่ แน่นอนหากมีปัญญาจริงๆ ก็พอจะสร้างความเข้าใจต่อไปได้ถึงความเป็นรูปนามของสรรพสิ่ง แต่เชื่อเถอะว่าบันไดก้าวนี้ห่างเกินไป เปรียบเสมือน เดินขึ้นบันไดจากชั้นล่างขึ้นชั้น ๒ เท้าขวาก้าวขึ้นบันไดขั้นที่ ๑ แต่พอจะเหยียบก้าวต่อไปเท้าซ้ายพยายามจะก้าวไปเหยียบขั้นที่ ๑๐ คิดว่าจะไปต่อได้ไหม? ใช่..ก้าวไม่ถึงหรอก
เพราะไม่รู้จักมรรค จึงทำให้ปฏิบัติตามๆ กัน เขาว่าดีก็ดีตามเขา บางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้ คนเขาเข้าใจได้เขาอาจจะไม่ได้อยู่ขั้นที่ ๑ หรอก เขาอาจจะเหยียบอยู่ขั้นที่ ๘ ขั้นที่ ๙ แล้วก็เป็นได้ การก้าวไปขั้นที่ ๑๐ มันก็เป็นธรรมดาที่เขาก้าวได้อยู่แล้ว เราจึงควรมาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
การเห็นการเกิด-ดับ คืออะไรกันแน่
การเกิดดับแยกให้เห็นได้เข้าใจ ๒ ประเภทคือ
๑. การเห็นการเกิดดับที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ อย่างเช่นที่อธิบายไปแล้วข้างต้น
๒. เกิดการดับเพราะเจริญมรรค ตรงนี้เข้าไปเห็นสภาพของการปล่อยวางขันธ์ลงชั่วขณะ หรือวางอุปาทานหรือดับสภาพ สักกายทิฏฐิ คือสภาพความเห็นผิดลงได้ชั่วคราว จึงเห็นการดับ จากของปรุงแต่งที่สร้างขึ้นโดยความไม่รู้ หรือไปสังเกตเห็นในฌานตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปว่า สภาพนั้นว่างจาก สักกายทิฏฐิ หรือความเห็นผิดในความเป็นตัวตน ในขณะที่ปราศจากเจตนาของการสังเกต
ดังนั้นจึงเห็นว่าการเกิดดับของทั้ง ๒ ประเภทนั้นจึงแตกต่างกัน อย่างแรกเข้าไปสังเกตของที่มีอยู่ ส่วนประเภทที่ ๒ นั้น เกิดจากการปล่อยวางความยึดถือหรือการปรุงแต่งลงได้ชั่วคราว ซึ่งเป็นผลจากการเจริญมรรค
แล้วทั้ง๒ประเภทนี้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงหรือมีความสำคัญอย่างไร?
การดับในประเภทที่ ๑ นั้น จะไม่หมดไปหากไม่เจริญมรรคเพราะเนื่องจากการสร้างเหตุเกิดให้มันตลอดเวลา ดังเช่นฟองก๊าซไข่เน่าในบ่อน้ำเน่าที่ผุดขึ้นตลอดเวลา จะไม่มีวันหมดไปหากยังคงทิ้งขยะลงในบ่อน้ำเน่านั้น และไม่มีการจัดการกับขยะที่มีอยู่แล้ว รวมถึงน้ำที่เน่าอยู่และดินโคลนใต้น้ำที่หมักหมมเน่าเหม็นมายาวนาน ย้อนกลับมาสร้างความเข้าใจในตัวอย่างที่ยกไว้ในตอนแรก เขาเห็นอารมณ์ที่เกิดดับจากการเล่นเกมส์ นั่นคือการเห็นฟองก๊าซไข่เน่าที่ผุดขึ้นตลอดเวลาจากบ่อน้ำเน่า การเล่นเกมส์คือการโยนขยะลงไปเพิ่มในบ่อน้ำเน่านั้นนั่นเอง ดังนั้นคำถามที่ถามว่าต้องทำอย่างไรต่อเพราะไม่เห็นก้าวหน้าเลย ก็จะก้าวหน้าอย่างไรกัน มันจะถอยหลังเอาด้วยซ้ำ แล้วต้องทำอย่างไร?
๑. หยุดเล่นเกมส์ เพราะจะเห็นทันทีว่าเราติดเกมส์ เมื่อนั้นความอยากจะเกิด นั่นคือตัณหา เร่าร้อนใจล่ะทีนี้ คราวนี้จะเข้าใจได้เองว่าเรามีสภาพไม่ต่างจากคนติดบุหรี่หรือยาบ้า ถ้าหากการติดนั้นไม่มากนัก ก็เหมือนคนอยากบุหรี่ แต่ถ้าเสพติดรุนแรงไม่ได้เล่นเกมส์แล้วออกอาการกระฟัดกระเฟียดอารมณ์เสีย เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด นั่นแสดงว่าเสพติดรุนแรงมากเหมือนติดยาบ้าแล้ว อย่างนี้ทุกข์นะ ตกลงเล่นเกมส์นั้นมีความสุขหรือสร้างความทุกข์กันแน่ เอาให้แน่ เข้าใจไหม อย่างนี้จึงจะเกิดปัญญา พาไปสู่การถอดถอนในอนาคต
ดังนั้นนี่จึงเห็นเหตุว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงให้ความสำคัญกับการเนกขัมมะในมรรคองค์ที่ ๒ ที่เป็นปัญญาเพราะเมื่อรู้ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์ในมรรคองค์ที่ ๑ แล้ว จะเป็นเหตุปัจจัยให้มรรคองค์ที่ ๒เกิด คือเนกขัมมะออกจากกาม ไม่มุ่งร้าย ไม่เบียดเบียน เมื่อนั้นจะเห็นได้เองว่าการติดเกมส์หรือกามคุณต่างๆ ส่งผลเป็นความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจ ควรจะพรากออกมาหรือใช้อย่างระมัดระวังหากยังจำเป็นต้องใช้อยู่
๒. หากสิ่งนั้นไม่ใช่เกมส์ที่จะหยุดได้เช่น การใช้ Line ในการส่งข้อความ หากใช้ในการส่งข้อความเพื่อเป็นการให้ความสะดวกในการสื่อสาร ก็คงไม่สร้างปัญหาอะไรมากนัก แต่บางคนติดเล่นเพราะสติกเกอร์ที่ส่ง มันสร้างตัวสร้างตน อวดตัว ปรุงแต่งภายในสารพัด ไปให้อาหารอวิชชาทำให้เกิดราคานุสัย สร้างเชื้อให้ราคะต่อสิ่งอื่นๆ ผุดขึ้นมาได้ง่ายดายเพราะชินกับราคะอยู่แล้ว อย่างนี้ก็ลด ละ เลิกเสียเถอะ
ดังนั้นการใช้ของต่างๆ จึงมี ๒ สภาพ คือเริ่มจากขันธ์ติด ถ้าไม่โง่ ใจก็ไม่ร้อนรุ่ม ผลักดันให้เป็นตัณหาเร่าร้อน แต่ถ้าโง่เพราะมีอวิชชา เมื่อขันธ์ติด ก็จะมีผู้ทุกข์ล่ะงานนี้ จากนั้นก็จะกลายเป็นพลังผลักดันให้เป็นเหตุเกิดของสรรพสิ่งต่อไป
การเจริญมรรคทั้ง ๘ องค์ จึงมีความสำคัญมาก ที่จะไปตัดต้นเหตุต่างๆ ที่จะไม่ทิ้งขยะเพิ่ม รวมถึงการชำระพื้นบ่อด้วยศีล ถ่ายน้ำเน่าออกด้วยการชำระจิตในมรรคองค์ที่ ๖ สนับสนุนให้เกิดปัญญาถอดถอนความเห็นผิดด้วยมรรคองค์ที่ ๗ และ ๘ ไปสนับสนุนความเห็นถูกให้มรรคองค์ที่ ๑ เกิดเป็น สัมมาทิฏฐิ เพราะมีแรงสนับสนุนจากมรรคองค์ที่ ๗ และ ๘ นั่นเอง
เมื่อนั้น สัมมาทิฏฐิ ความเห็นอันถูกต้องก็จะเกิดมากขึ้นๆ โดยลำดับ เมื่อละกาม ละธรรมอันเป็นอกุศล จิตจะตั้งมั่นเห็นความจริงว่าเรากำลังยึดของเกิดดับเข้าเสียแล้ว แล้วแถมไปสร้างตัวตนในของที่ไม่มีตัวตน ไปยึดถือของไม่มีตัวตนขึ้นมาเป็นของเรา เป็นเรา เป็นอัตตาของเรา จากนั้นจะเกิดการปล่อยวางความเห็นผิดหรือความยึดถือลง ตรงนี้จึงเป็นการดับที่เรียกว่านิโรธ
ดังนั้นที่ชอบพูดกันว่าเห็นการเกิดดับน่ะ เห็นแบบไหนล่ะ? เห็นการดับจากการเจริญมรรค นี่เกิดเป็นนิโรธ หากเห็นของที่เกิดขึ้นดับไปตามธรรมชาติ ก็เห็นไปสร้างปัญญาในวันข้างหน้า แต่วันข้างหน้าจะมีได้ด้วยการเจริญมรรคนั่นเอง
คำถามคำตอบที่เกิดในคอร์สพื้นฐานคอร์สหนึ่ง
วัยรุ่นคนหนึ่งมาเข้าคอร์สปฏิบัติ บอกว่าเคยเข้าปฏิบัติที่นั่นที่นี่มาแล้ว เพิ่งมาเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมทำไม แล้วก็สามารถเห็นการเกิดดับในคอร์สนี้...
อาจารย์ : ปรกติใช้โน้ตบุค โปรแกรม window รึเปล่า?
ผู้ปฏิบัติ : ใช้ครับ
อาจารย์ : ถ้าเราสังเกตที่จอของโน้ตบุค จะเห็นจอเกิดๆ ดับๆ ตลอดเวลาถูกไหม?
ผู้ปฏิบัติ : ถูกครับ
อาจารย์ : แต่การที่เรามาปฏิบัติเนี่ยะ เรามากด CTL ALT DEL นะ เวลาที่เครื่องมันแฮงค์ จนกระทั่ง วันหนึ่งจะ Shut Down เครื่องคอมไปเลยรู้ไหม ไม่ได้แค่มาดูจอกระพริบนะ
2013-10-17